ไตร่ตรองพระวาจาของพระเจ้า
โดย นางศุภนารี ศรีรอด
เมื่อถึงเดือนธันวาคม คนส่วนใหญ่มักนึกถึงวันคริสต์มาสซึ่งเป็นเทศกาลที่คนทั่วโลกยอมรับ และมักจะให้ความสำคัญโดยการจัดบรรยากาศต้อนรับเทศกาลนี้กันอย่างสวยงาม ตระการตาหลายสถานที่จัดตกแต่งเพื่อดึงดูดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเทศกาลที่ทุกคนรอคอย และเป็นเทศกาลที่สะท้อนให้เห็นถึงความสุข ความชื่นชมยินดี ความรื่นเริง ความสนุกสนาน และยืดยาวต่อเนื่องไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่
วันคริสต์มาส เป็นวันที่ชาวคริสต์ได้ทำการเฉลิมฉลองการบังเกิดของพระคริสตเจ้ากันทั่วโลก เป็นการแสดงออกถึงความชื่นชมยินดีและซาบซึ้งในความรักที่ยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ เป็นแบบอย่างของความรักที่บริสุทธิ์ เพราะหากเราจะมาพูดกันจริงๆ ในเรื่องของความรักนั้นมีหลากหลายรูปแบบ สำหรับความรักในแบบฉบับขององค์พระผู้เป็นเจ้า กับความรักในแบบฉบับของมนุษย์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความรักในแบบฉบับขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ปราศจากเงื่อนไข ไร้ข้อจำกัดหรือขอบเขตในการที่จะรัก เป็นหัวใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะให้อภัยแม้ว่ามนุษย์นั้นจะตกอยู่ในบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายยุคหลายสมัย ความรักของพระองค์ก็ยังคงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าพระองค์ทรงมองเห็นความอ่อนแอที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง
ขอยกตัวอย่างคำสอนของพระเยซูเจ้าจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว
จงรักศัตรู (มธ.5: 43-48)
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน” แต่เราบอกพวกท่านว่า “จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐาน เพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน” เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกท่านทักทายแต่พี่น้องของตนเท่านั้น ท่านได้ทำอะไรพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ? พวกต่างชาติก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเป็นคนดีพร้อมเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม
จะเห็นได้ว่าคำสอนของพระเยซูเจ้านั้นสวนทางกับโลก เป็นคำสอนที่ท้าทายให้เราแต่ละคนต้องออกจากตัวเองด้วยการดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ไร้ข้อจำกัด หรือขอบเขตใดๆ อันเป็นอุปสรรคในการสร้างคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในแบบฉบับขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ความรักในแบบฉบับของมนุษย์เป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจเป็นคำสอนที่มนุษย์เรียนรู้ในการเอาตัวรอดต่อๆ กันมา ว่าเราจะเสแสร้งแกล้งรักก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีผลประโยชน์ต่อเรา ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก เป็นความรักที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เพราะทั้งคนดีและคนชั่วก็รักลูกของตนซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าใดๆ ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่เอื้ออำนวยให้เราได้มีโอกาสแสดงความรักความเมตตาเป็นพิเศษต่อผู้ที่ยากไร้ ผู้มีความทุกข์ยากลำบาก ผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม และผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ฯลฯ
พระเยซูเจ้าสอนให้เราดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของความรักด้วยการไตร่ตรองชีวิตของตนเองอยู่เสมอเป็นประจำ เพื่อให้เราสามารถรักทุกคนที่อยู่รอบข้างของเราได้โดยปราศจากข้อจำกัดในการแสดงความรักนี้ และจะทำให้เราสามารถข้ามผ่านความเกลียดชังหรือการตัดสินผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ความรักที่บริสุทธิ์จะไม่ทำให้เราตัดสินลงโทษผู้อื่น และสามารถมองข้ามในความบกพร่องและความอ่อนแอของบุคคลนั้นได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกันกับองค์พรผู้เป็นเจ้า
จดหมายจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 13 ข้อ 4-7
ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ
สุขสันต์วันคริสต์มาส 2022
ขอขอบคุณบทความจาก
นางศุภนารี ศรีรอด