สภาวะโลกร้อน….ภัยมืดซ่อนโลกร้าย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนถึงมหันตภัยปรากฏการณ์ “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) หลายคนยังฟังเพียงผ่านๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว …แต่ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อนก็ยิ่งพ่นพิษรุนแรงและลุกลามเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัดคือภัยจากธรรมชาตินานัปการ และโรคภัยไข้เจ็บที่ลุกลาม เป็นต้น

ภาวะโลกร้อน เกิดจากการที่โลกมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ “ก๊าซเรือนกระจก” เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ผิดปกติขึ้น รวมทั้งก๊าซชนิดอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนาๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้ เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ หรือมีความ แปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นทั่วโลก

ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากการใช้น้ำมัน การปล่อยสารพิษ สารเคมี การตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น  นอกจากสภาวะอากาศที่นับวันจะแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว ทราบหรือไม่ว่าเมื่อเกิดสภาวะโลกร้อน สุขภาพร่างกายของเราก็จะได้รับผลกระทบตาม ไปด้วย  ซึ่งโรคยอดฮิตติดอันดับ คือ  โรคอหิวาตก โรคไข้เลือดออก และอาหารเป็นพิษ  เรามาทำความรู้จักกับเจ้า 3 โรคนี้กันนะครับ

1. อหิวาตกโรค 
          เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน เชื้อจะเข้าไปอยู่บริเวณลำไส้ และจะสร้างพิษออกมา ทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีซาวข้าว ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว รุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุ
          เกิดจากการที่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว และมีการปนเปื้อนของเชื้อ
ระยะฟักตัว
1.  ผู้ที่ได้รับเชื้อ จะเกิดอาการได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงถึง 5 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะเกิดอาการภายใน
1-2 วัน
   2.  กรณีไม่รุนแรง อาการจะหายภายใน 1 วัน หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง แต่จำนวนอุจจาระไม่เกินวันละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมีปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน 
   3.  กรณีอาการรุนแรง อาการระยะแรก มีท้องเดิน มีเนื้ออุจจาระมาก ต่อมามีลักษณะเป็นน้ำซาวข้าว เพราะว่ามีมูกมาก กลิ่นเหม็นคาว ถ่ายอุจจาระได้โดยไม่มีอาการปวดท้อง บางครั้งไหลพุ่งออกมาโดยไม่รู้สึกตัว อาเจียนโดยไม่รู้สึกคลื่นไส้ อุจจาระ ออกมากถึง 1 ลิตรต่อชั่วโมง และจะหยุดเองใน 1 – 6 วัน หากได้น้ำและเกลือแร่ชดเชยอย่างเพียงพอ แต่ถ้าได้น้ำและ เกลือแร่ทดแทนไม่ทันกับที่เสียไป จะมีอาการขาดน้ำอย่างมาก ลุกนั่งไม่ไหว ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีเลย อาจมีอาการเป็นลม หน้ามืด จนถึงช็อค ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอาการท้องเสีย
– งดอาหารรสจัด เผ็ดร้อน หรือของหมักดอง
          – ดื่มน้ำชาแก่แทนน้ำ บางรายต้องงดอาหาร ชั่วคราวเพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้ 
          – ดื่มน้ำเกลือผงสลับกับน้ำต้มสุก ถ้าเป็นเด็กเล็กควรปรึกษาแพทย์ ในกรณีที่ท้องเสียอย่างรุนแรง ต้องรีบนำส่งแพทย์ด่วน
การป้องกัน
          – รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก ภาชนะที่ใส่อาหาร ควรล้างสะอาดทุกครั้งก่อนใช้ 
          –  ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนกินอาหาร หรือก่อนปรุงอาหารและหลังเข้าส้วม
          – ไม่เทอุจจาระ ปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง หรือทิ้งเรี่ยราด ต้องถ่ายลงในส้วม ที่ถูกสุขลักษณะ และกำจัด สิ่งปฏิกูลโดยการเผาหรือฝังดิน เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค 
          –  ระวังไม่ให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในลำคลอง 
          –  หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค

2. โรคไข้เลือดออก
      เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย Aedes aegypti ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูงจากเชื้อไวรัสแดงกี โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก
            อาการแรกเริ่ม จะรู้สึกว่ามีไข้สูงเฉียบพลัน ถึง 38 – 40 องศาเซลเซียส อยู่ 2 – 7 วัน บางรายจะมีจุดเลือดสีแดงๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา และมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและหลังหรือปวดหัวพร้อม ๆ กันกับไข้สูง อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระเป็นสีดำ บางราย อาจมีอาการช็อค ซึม ตัวเย็นจนถึงอาการหนักมากไม่รู้สึกตัว หมดสติและถึงกับเสียชีวิตได้

การดูแลรักษา
          – เมื่อเริ่มเป็นไข้เลือดออก มีอาการไข้สูง ต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้
          – หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล
ห้ามใช้ยาจำพวกแอสไพริน เพราะแอสไพรินจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
          – ถ้ามีอาการเพลียให้ ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ
          – หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
 วิธีป้องกัน
          – ระวังอย่าให้ยุงกัดในตอนกลางวัน ซึ่งป้องกันได้ด้วยการนอนในมุ้ง 
          – ช่วยกันกำจัดลูกน้ำ และลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใส่ปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง
          – ในภาชนะเก็บน้ำที่ปิดฝาไม่ได้ ควรใส่ทรายกำจัดลูกน้ำทุก 1 – 2 เดือน สำหรับตุ่มน้ำที่ไม่ค่อยได้เปิดบ่อย ๆ ควรปิดด้วยตาข่ายผ้าหรือไนล่อน 2 ชั้น
          – เก็บทำลายภาชนะที่มีน้ำขังหรือไม่ใช้ประโยชน์แล้ว เช่น ฝัง เผา หรือดัดแปลงนำมาใช้ประโยชน์

          “โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ต้องจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากยังไม่มียาหรือวัคซีนในการรักษาแล้ว ปัจจุบันยังพบว่ายุงลายซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรค ที่เคยออกหากินเฉพาะแต่ในเวลากลางวันได้เปลี่ยนมาออกหากินในเวลาพลบค่ำจนถึง 5 ทุ่ม ทำให้ยากต่อการป้องกัน หรือ วินิจฉัยโรค”

3. โรคอาหารเป็นพิษ
          มีสาเหตุสำคัญจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในอาหาร โดยเฉพาะในสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น นั่นหมายถึงจะส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตเร็วตามไปด้วย และยิ่งถ้าหากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตก็จะสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและผลิตสารพิษ ได้อย่างรวดเร็วจนมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดอาการป่วย เช่น ถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ บางรายอาจมีอาการลำไส้อักเสบ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย

          อาหารที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษในประเทศไทย 
          – อาหารทะเลปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารทะเลซึ่งกินโดยไม่ผ่านการปรุงให้สุก (โดยเฉพาะที่บีบมะนาวใส่ โดยที่เข้าใจว่าอาหารเหล่านี้สุกเพราะสีของเนื้อ เหล่านี้จะเปลี่ยนไปเหมือนเนื้อที่สุกแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด) 
          – อาหารประเภทปรุงเสร็จแล้ว ไม่มีการผ่านความร้อนก่อนบริโภค เช่น อาหารยำ ส้มตำ สลัด น้ำราดหน้าชนิดต่าง ๆ 
          – อาหารเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ถ้าจะเก็บไว้รับประทานในมื้อต่อ ๆ ไปควรเก็บในตู้เย็น เมื่อจะนำมารับประทานต้องอุ่นให้ร้อนจัดอีกครั้ง เพื่อฆ่าเชื้อ จุลินทรีย์ที่ยังเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์

          แต่ถ้ามีอาการท้องเสียมาก ๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำ และ เกลือแร่ บางรายอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิด โลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิด จะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เมื่อเป็นแล้วควรทำอย่างไร
           รักษาแบบอาการท้องเดินทั่วๆ ไป เช่น ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่  อาการท้องเดินมักหายได้เองภายใน 1- 2 วัน  ถ้าท้องเสียหรืออาเจียนมาก  ปวดท้องรุนแรง หรือมีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่น ๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

ข้อสำคัญ
            อย่ากินยาแก้ท้องเดินเอง เพราะอาการท้องเดินส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง ขอให้เข้าใจว่าการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกาย

  5 วิธีง่ายๆ รับมืออาหารเป็นพิษ
          –  ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร 
          –  ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง 
          –  หลีกเลี่ยงการกินอาหาร หรือขนมค้างคืนที่ผสมกะทิ 
          –  ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล (ควรแช่ด่างทับทิมทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด)  
          –  ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อน จะเร่งให้แบคทีเรีย เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

อ้างอิงจาก
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=686
https://thailand.un.org/th/174652-saehtuaelaphlkrathbkhxngkarepliiynaeplngsphaphphuumixakas
https://tdri.or.th/2021/11/climate-change-affect-labor/

ขอขอบคุณบทความจาก
คุณครูปนัดดา ดาโสม

Message us